คือ อาการกินนมเยอะจนมีอาการดังต่อไปนี้
1.นอนร้องเป็นแพะ เป็นแกะ แอะๆๆ แอะๆๆ
2.บิดตัวเหยียดแขนเหยียดขา ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆ คล้ายเสียงประตูไม่หยอดน้ำมัน
3.เสียงครืดคราดในคอ ทำให้เสียงคล้ายเสมหะในคอ เนื่องจากนมล้นขึ้นมาที่คอหอยแล้ว
4.แหวะนมหรืออาเจียนนมออกมาทางปากหรือจมูก
5.พุงกางเป็นทรงน้ำเต้าตลอดเวลา ไม่เคยเห็นพุงแฟบเลย
ถ้าใครมีอาการดังกล่าว พบว่านน.จะขึ้นเกิน 35 กรัมต่อวัน หรือ เกิน 1 กก./เดือน
ดังนั้น ใครที่เข้าใจผิดว่าทารกควรมีนน.เพิ่มขึ้นเดือนละโล โปรดเข้าใจใหม่ค่ะ นั่นคือมากเกินไปแล้ว จนทำให้อึดอัด ปวดท้อง โยเย ร้องไห้กวน
นน.ขึ้นปกติคือ
600-900 กรัม/ด.ในช่วงอายุ 0-3 เดือน
450-600. ก./ด. 4-6 ด.
300 ก./ด. 7-12 ด.
ถ้า overfeeding จากนมแม่ ไม่อันตราย เพราะโตขึ้นหุ่นจะผอมเพรียวได้เอง แต่การอาเจียนบ่อยก็ไม่ดีเพราะจะทำให้กรดจากกระเพาะอาหารย้อนออกมาทำให้หลอดอาหารเป็นแผลได้ ดังนั้น ถ้าคุมสถานการณ์การกิน ไม่ให้กินมากเกินไปได้ ก็ควรทำ
วิธีคุมไม่ให้ลูกกินมากเกินไป คือ ให้ประเมินว่าลูกอึครบ 2 ครั้ง โดยที่แต่ละครั้งมีปริมาณอึกว้างเท่ากับแกนของม้วนกระดาษชำระ คือ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 ซม. หรือจำนวนฉี่ครบ 6 ครั้ง ในหนึ่งวัน (24 ชม.) ลูกพุงกางเป็นน้ำเต้าแล้ว ลูกสะอึกบ่อยแล้ว หากลูกร้องทุกครั้งให้ประเมินดูสถานการณ์เหล่านี้ ถ้าพบว่าได้รับนมเข้าไปมากพอแล้ว ให้ใช้วิธีเบี่ยงเบน โดยอุ้มลูก เคลื่อนไหวไปมา ใช้เปลไกว ใช้จุกหลอกได้ทั้งสิ้น ไม่ต้องกลัวติดมือ ติดเปล ติดจุกหลอก เพราะเราจะใช้แค่ช่วงเวลา 3-4 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกปรับตัวกับโลกใบใหม่อยู่ หลังจากนั้นลูกจะเลี้ยงง่ายขึ้นและตะกละน้อยลง เราก็เลิกใช้ ให้เบี่ยงเบนโดยเล่นกับลูก สุดท้ายจริงๆ หากลูกต้องการดูดเต้าให้ได้ ก็ต้องปั๊มนมออกก่อน เพื่อจะได้ไม่ได้รับปริมาณนมเข้าไปมากเกินไป แต่เป็นการดูดเพื่อความพึงพอใจ
แต่การวินิจฉัยไม่ได้ว่าลูกเป็น overfeeding ก็อาจทำให้เกิดผลเสียบางอย่างซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยดังเคสตัวอย่างต่อไปนี้
ทารกวัยเดือนครึ่งกินนมแม่มาตลอด มีปัญหาหายใจครืดคราดเสียงดังมากตอนกลางคืน พ่อแม่พาไปพบหมอมาแล้ว 5 คน วินิจฉัยว่า เป็นหวัด ให้ยากิน ยาหยดจมูก เอ็กซเรย์ปอด และล่าสุดบอกว่าแพ้นมแม่ ให้เปลี่ยนไปกินนมถั่วกระป๋อง คุณพ่อไม่อยากจะเชื่อว่าแพ้นมแม่ ก็เลยพามาปรึกษาป้าหมอ
ตรวจร่างกายพบว่าเป็นเด็กพุงพลุ้ยลักษณะดังรูปประกอบ (แต่ไม่ใช่เด็กคนนี้นะคะ คนนี้เป็นนายแบบ overfeeding อีกคนหนึ่ง) พอถามอาการ 5 ข้อ ก็ถูกหมดทุกข้อ นน.ขึ้นเกินโล เรื่องแพ้อาหารที่ผ่านทางนมแม่ ก็ไม่น่าใช่ เพราะคุณแม่งดอาหารกลุ่มเสี่ยงทั้งนมวัว นมถั่ว ไข่ แป้งสาลี ซีฟู้ดแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากยังไม่ได้คุมการกินไม่ยั้งของลูกนั่นเอง หากคุมให้นน.ไม่ขึ้นเกินโล อาการก็จะหายไปค่ะ
พอทราบคำตอบ พ่อแม่ก็ยิ้มออก พร้อมกับโล่งอก ว่าเกือบไปแล้ว เกือบต้องหยุดนมแม่ เพราะอาการ overfeeding หรือตะกละของลูกน้อยแล้วไหมหล่ะ
From: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=762498290442987&set=a.591395760886575.156913.591075960918555&type=1&theater
รวบรวมข้อมูล บทความที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับมาดูแลเด็ก จาก Facebook ต่างๆ โดยมีเจตนาเพียงเพื่อการอ้างอิงค้นหาสำหรับเพื่อนฝูงที่มีลูกในวัยไล่เลี่ยกัน มิได้ต้องการจะแอบอ้างเป็นแหล่งข้อมูลแต่อย่างใด ทั้งนี้ผู้รวบรวมได้พยายามใส่ข้อมูลแหล่งที่มาให้ละเอียดเท่าที่จะทำได้ หากมีสิ่งใดสร้างปัญหา หรือความไม่พอใจแก่เจ้าของบทความ สามารถติดต่อเพื่อขอให้ยกเลิกการ publish ข้อความได้ทันที ใครที่จะแชร์บทความย่อยรบกวนไปแชร์ที่บทความต้นฉบับนะคะ เว้นแต่จะแชร์ทั้ง blog ไปเลย เพื่อเราจะได้อยู่ร่วมกันได้นานๆ :)
Tuesday, 29 October 2013
Monday, 28 October 2013
พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก
เด็กๆเรียนรู้ว่า ควรรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตนเอง รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับความสามารถของตนเอง และนึกคิดอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งต่างๆรอบๆตัว โดยเลียนแบบพ่อแม่ทั้งคำพูดและการกระทำ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการสอนสุขนิสัย หรือ พฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ แก่ลูก ไม่ใช่วิธีการให้รางวัล หรือ การลงโทษ แต่ให้ใช้วิธีการส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นบวก และ การปฏิบัติพฤติกรรมดีเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น ซึ่งจะทำให้ลูกเป็นคนที่มีความสุข ถ้าเดิมคุณมีพฤติกรรมที่ไม่ดีดังต่อไปนี้ การเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก จะส่งผลให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น และ มีความสุขในชีวิตมากขึ้นอีกด้วย
นิสัยไม่ดีข้อ 1 : ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากเกินไป
การแสดงความไม่พอใจในรูปร่างของตัวเองออกมา จะแสดงให้ลูกเรียนรู้ว่า การให้คุณค่าตนเองขึ้นกับ การมีผิวขาวใสวิ้งหรือไม่ หรือ ต้องมีหุ่นผอมเพรียว โดยเสียเงินซื้ออาหารเสริมที่โฆษณาว่า กินแล้วจะผิวขาว หน้าเด้ง หรือ ผอมได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย เด็กๆโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะได้รับอิทธิพลความคิดจากคุณแม่ ลูกอาจไม่พอใจรูปร่างตนเองที่เห็นจากกระจก นำไปสู่การให้คุณค่าตนเองต่ำ หรือ ไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง ทำให้ลูกมีปัญหาควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดผิดปกติ หรือ ปัญหาเกลียดการกิน (Anorexia nervosa)
นิสัยไม่ดีข้อ 2 : ใช้การกินเป็นสิ่งระบายความเครียด
ถ้าคุณใช้อาหารเป็นสิ่งชดเชยความทุกข์ใจ ความผิดหวัง ลูกจะเลียนแบบพฤติกรรมนี้ได้ แล้วนำไปสู่ปัญหาโรคอ้วน แต่คุณควรใช้วิธีอื่นในการระบายความเครียด เช่น การปรึกษาเพื่อนฝูง หรือ ไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เครียด
นิสัยไม่ดีข้อ 3 : เล่นไอแพด ไอโฟน สมาร์ทโฟนตลอดเวลา
เด็กที่อยู่หน้าจออิเลคทรอนิคส์มากเกินไป จะมีปัญหาการนอน ปัญหาการเรียน และ น้ำหนักตัวเกิน
นิสัยไม่ดีข้อ 4 : วัตถุนิยม
เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบเล่นแต่งตัวตุ๊กตา แต่อย่าให้ลูกหมกหมุ่นกับกิจกรรมนี้มากเกินไป ควรส่งเสริมให้เล่นอย่างอื่นบ้าง เช่น ออกไปเดินเล่น เล่นกีฬา เพื่อลูกสาวจะได้เรียนรู้เรื่อง ความแข็งแกร่ง พละกำลัง และ ทำให้ลูกเรียนรู้ว่า การออกกำลังกายเป็นวิธีระบายความเครียดและความเหนื่อยล้าที่ดี และ อย่าลืมชมเชยเมื่อลูกแสดงความมีปฏิภาณไหวพริบ หรือ เมื่อลูกมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่าเอาแต่ชมว่าลูกสวยเพียงอย่างเดียว
นิสัยไม่ดีข้อ 5 : กินอัลกอฮอล์เพื่อระบายความเครียด
ถ้าคุณพ่อกลับบ้านมาด้วยความเครียดจากปัญหาที่ทำงาน แล้วพูดว่า "ขอกินเหล้าแก้กลุ้มหน่อยเถอะ" จะเป็นการแสดงให้ลูกรู้สึกว่า การกินเหล้าเป็นวิธีที่ดีในการแก้ไขปัญหาหนักอก และ ช่วยให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เช่นเดียวกับ การกินกาแฟเยอะๆ หรือ เครื่องดื่มชูกำลัง เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้แก่ร่างกาย วิธีที่ถูกต้องในการระบายความเครียด หรือ เพิ่มพลังชาร์ทแบต คือ การออกกำลังกาย การทำโยคะ การทำสมาธิ หรือ งานอดิเรกที่ได้ทำร่วมกันกับคนในครอบครัว
นิสัยไม่ดีข้อ 6 : ทำทุกอย่างเป็นการแช่งขันชิงดีชิงเด่น
การบอกลูกว่า ดูเด็กข้างบ้าน เพื่อนในห้อง หรือ พี่น้องสิ เขาทำโน่นนี่ได้ ไม่ใช่วิธีสร้างแรงจูงใจที่ดีให้แก่ลูก แต่ควรใช้การสร้างแรงจูงใจทางบวก ให้ชมลูกเมื่อลูกพยายามทำอย่างดีที่สุดเท่าที่ลูกทำได้ ช่วยให้ลูกเห็นข้อดีของการได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านว่าสนุกเพียงใด ให้ลูกแข่งกับตัวเอง และ ดูว่ามีการพัฒนามากขึ้นอย่างไร คุณอาจช่วยลูกค้นหากิจกรรมที่ลูกชื่นชอบและช่วยฝึกฝน เล่าให้ลูกฟังว่าคุณเองก็ต้องออกกำลังกายเหมือนกันและทำให้คุณรู้สึกดีอย่างไร
นิสัยไม่ดีข้อ 7 : เป็นคนชอบโต้เถึยง หรือ ขัดแย้งกับผู้อื่นตลอดเวลา
ถ้าพ่อแม่โต้เถียงกันตลอดเวลา ลูกๆจะเรียนรู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ ทั้งๆที่ความจริง คือ ยิ่งโต้เถียง ก็จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น ดังนั้นคุณควรเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงการโต้เถียง เพราะการโต้เถียงอาจทำให้คุณรู้สึกดีในเบื้องต้น แต่มักทำให้เหตุการณ์แย่ลงในภายหลัง และ ลูกที่อยู่ในครอบครัวที่มีการโต้เถียงกันตลอดเวลา จะมีความเครียดมากกว่าปกติ
นิสัยไม่ดีข้อ 8 : ขี้นินทา
การนินทาผู้อื่น ที่จริงแล้ว เป็นสัญลักษณ์ของคนที่เห็นคุณค่าของตนเองต่ำ รวมถึงการชอบบริโภคข่าวซุบซิบนินทาในหนังสือพิมพ์ ทีวี นิตยสารดารา ก็ควรงดให้หมดด้วย สู้เอาเวลาไปขี่จักรยาน หรือ เล่นตั้งเตดีกว่า
ถ้าคุณพบว่าที่ผ่านมา คุณแสดงนิสัยไม่ดีเหล่านี้ให้ลูกเห็น จงอย่าคิดว่าลูกไม่สังเกตเห็น ลูกเห็นแน่นอน แต่วิธีแก้ไข คือ ให้บอกลูกเลยค่ะ ว่าที่ผ่านมา พ่อแม่ทำสิ่งไม่ดีอะไรมาบ้าง แต่พ่อแม่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โดยอาจให้ลูกช่วยเตือน ลูกจะยินดีมากที่จะช่วยคุณพยายามหยุดนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้ การศึกษาพบว่า หากครอบครัวมีส่วนร่วมในการแก้ไขนิสัยไม่ดี หรือ ปลูกฝังนิสัยที่ดี กับคนในครอบครัว จะช่วยให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น
From:https://www.facebook.com/photo.php?fbid=761764080516408&set=a.591395760886575.156913.591075960918555&type=1&theater
นิสัยไม่ดีข้อ 1 : ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากเกินไป
การแสดงความไม่พอใจในรูปร่างของตัวเองออกมา จะแสดงให้ลูกเรียนรู้ว่า การให้คุณค่าตนเองขึ้นกับ การมีผิวขาวใสวิ้งหรือไม่ หรือ ต้องมีหุ่นผอมเพรียว โดยเสียเงินซื้ออาหารเสริมที่โฆษณาว่า กินแล้วจะผิวขาว หน้าเด้ง หรือ ผอมได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย เด็กๆโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะได้รับอิทธิพลความคิดจากคุณแม่ ลูกอาจไม่พอใจรูปร่างตนเองที่เห็นจากกระจก นำไปสู่การให้คุณค่าตนเองต่ำ หรือ ไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง ทำให้ลูกมีปัญหาควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดผิดปกติ หรือ ปัญหาเกลียดการกิน (Anorexia nervosa)
นิสัยไม่ดีข้อ 2 : ใช้การกินเป็นสิ่งระบายความเครียด
ถ้าคุณใช้อาหารเป็นสิ่งชดเชยความทุกข์ใจ ความผิดหวัง ลูกจะเลียนแบบพฤติกรรมนี้ได้ แล้วนำไปสู่ปัญหาโรคอ้วน แต่คุณควรใช้วิธีอื่นในการระบายความเครียด เช่น การปรึกษาเพื่อนฝูง หรือ ไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เครียด
นิสัยไม่ดีข้อ 3 : เล่นไอแพด ไอโฟน สมาร์ทโฟนตลอดเวลา
เด็กที่อยู่หน้าจออิเลคทรอนิคส์มากเกินไป จะมีปัญหาการนอน ปัญหาการเรียน และ น้ำหนักตัวเกิน
นิสัยไม่ดีข้อ 4 : วัตถุนิยม
เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบเล่นแต่งตัวตุ๊กตา แต่อย่าให้ลูกหมกหมุ่นกับกิจกรรมนี้มากเกินไป ควรส่งเสริมให้เล่นอย่างอื่นบ้าง เช่น ออกไปเดินเล่น เล่นกีฬา เพื่อลูกสาวจะได้เรียนรู้เรื่อง ความแข็งแกร่ง พละกำลัง และ ทำให้ลูกเรียนรู้ว่า การออกกำลังกายเป็นวิธีระบายความเครียดและความเหนื่อยล้าที่ดี และ อย่าลืมชมเชยเมื่อลูกแสดงความมีปฏิภาณไหวพริบ หรือ เมื่อลูกมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่าเอาแต่ชมว่าลูกสวยเพียงอย่างเดียว
นิสัยไม่ดีข้อ 5 : กินอัลกอฮอล์เพื่อระบายความเครียด
ถ้าคุณพ่อกลับบ้านมาด้วยความเครียดจากปัญหาที่ทำงาน แล้วพูดว่า "ขอกินเหล้าแก้กลุ้มหน่อยเถอะ" จะเป็นการแสดงให้ลูกรู้สึกว่า การกินเหล้าเป็นวิธีที่ดีในการแก้ไขปัญหาหนักอก และ ช่วยให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เช่นเดียวกับ การกินกาแฟเยอะๆ หรือ เครื่องดื่มชูกำลัง เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้แก่ร่างกาย วิธีที่ถูกต้องในการระบายความเครียด หรือ เพิ่มพลังชาร์ทแบต คือ การออกกำลังกาย การทำโยคะ การทำสมาธิ หรือ งานอดิเรกที่ได้ทำร่วมกันกับคนในครอบครัว
นิสัยไม่ดีข้อ 6 : ทำทุกอย่างเป็นการแช่งขันชิงดีชิงเด่น
การบอกลูกว่า ดูเด็กข้างบ้าน เพื่อนในห้อง หรือ พี่น้องสิ เขาทำโน่นนี่ได้ ไม่ใช่วิธีสร้างแรงจูงใจที่ดีให้แก่ลูก แต่ควรใช้การสร้างแรงจูงใจทางบวก ให้ชมลูกเมื่อลูกพยายามทำอย่างดีที่สุดเท่าที่ลูกทำได้ ช่วยให้ลูกเห็นข้อดีของการได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านว่าสนุกเพียงใด ให้ลูกแข่งกับตัวเอง และ ดูว่ามีการพัฒนามากขึ้นอย่างไร คุณอาจช่วยลูกค้นหากิจกรรมที่ลูกชื่นชอบและช่วยฝึกฝน เล่าให้ลูกฟังว่าคุณเองก็ต้องออกกำลังกายเหมือนกันและทำให้คุณรู้สึกดีอย่างไร
นิสัยไม่ดีข้อ 7 : เป็นคนชอบโต้เถึยง หรือ ขัดแย้งกับผู้อื่นตลอดเวลา
ถ้าพ่อแม่โต้เถียงกันตลอดเวลา ลูกๆจะเรียนรู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ ทั้งๆที่ความจริง คือ ยิ่งโต้เถียง ก็จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น ดังนั้นคุณควรเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงการโต้เถียง เพราะการโต้เถียงอาจทำให้คุณรู้สึกดีในเบื้องต้น แต่มักทำให้เหตุการณ์แย่ลงในภายหลัง และ ลูกที่อยู่ในครอบครัวที่มีการโต้เถียงกันตลอดเวลา จะมีความเครียดมากกว่าปกติ
นิสัยไม่ดีข้อ 8 : ขี้นินทา
การนินทาผู้อื่น ที่จริงแล้ว เป็นสัญลักษณ์ของคนที่เห็นคุณค่าของตนเองต่ำ รวมถึงการชอบบริโภคข่าวซุบซิบนินทาในหนังสือพิมพ์ ทีวี นิตยสารดารา ก็ควรงดให้หมดด้วย สู้เอาเวลาไปขี่จักรยาน หรือ เล่นตั้งเตดีกว่า
ถ้าคุณพบว่าที่ผ่านมา คุณแสดงนิสัยไม่ดีเหล่านี้ให้ลูกเห็น จงอย่าคิดว่าลูกไม่สังเกตเห็น ลูกเห็นแน่นอน แต่วิธีแก้ไข คือ ให้บอกลูกเลยค่ะ ว่าที่ผ่านมา พ่อแม่ทำสิ่งไม่ดีอะไรมาบ้าง แต่พ่อแม่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โดยอาจให้ลูกช่วยเตือน ลูกจะยินดีมากที่จะช่วยคุณพยายามหยุดนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้ การศึกษาพบว่า หากครอบครัวมีส่วนร่วมในการแก้ไขนิสัยไม่ดี หรือ ปลูกฝังนิสัยที่ดี กับคนในครอบครัว จะช่วยให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น
From:https://www.facebook.com/photo.php?fbid=761764080516408&set=a.591395760886575.156913.591075960918555&type=1&theater
Labels:
Baby,
Behavior,
Good Practice,
Parent,
Teaching
10 สารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่คาดไม่ถึง
1. ต้นไม้ในบ้าน : มีสปอร์เชื้อราติดอยู่ตามกระถางต้นไม้และที่พื้นบริเวณที่วางต้นไม้ วิธีลดความเสี่ยง คือ กำจัดใบที่ตายแล้ว ใช้จานรองกระถางต้นไม้เพื่อไม่ให้ดินกระจายออกมานอกกระถางลงพื้นบ้าน และ หลีกเลี่ยงการรดน้ำต้นไม้จนชุ่มโชก
2. สัตว์เลี้ยง : ไม่เพียงแต่ผิวหนังหรือรังแคสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่น้ำลาย ปัสสาวะ และ อุจจาระของสัตว์เลี้ยง ซึ่งตกอยู่ตามพื้นพรม เฟอร์นิเจอร์ และ เตียงนอนล้วนมีสารโปรตีนซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้ทั้งสิ้น วิธีลดความเสี่ยง คือ ไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าห้องนอน หมั่นทำความสะอาดบ้านบ่อยๆเพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้ตกค้างสะสมในบ้าน ล้างมือทุกครั้งหลังจากเล่นกับสัตว์เลี้ยง
3. พรม ผ้าเช็ดเท้า : เป็นแหล่งสะสมฝุ่น ไรฝุ่น วิธีลดความเสี่ยง คือ หมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ เอาพรมออกไป ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพื่อถ่ายเทอากาศไม่ให้อับชื้น
4. หนังสือ : เป็นอาหารสมองสำหรับคุณ แต่ก็เป็นอาหารสำหรับไรฝุ่น ไรหนังสือด้วยเช่นกัน วิธีแก้ไข คือ หมั่นทำความสะอาด หรือ เก็บหนังสือในตู้ปิด และอย่าให้ห้องเก็บหนังสือชื้น เพราะจะทำให้มีเชื้อราเจริญเติบโตซึ่งเป็นอาหารของไรหนังสือ
5.เฟอร์นิเจอร์กำมะหยี่ หรือ ทำจากผ้า : จะมีตัวไร วิธีแก้ไข คือ หุ้มเฟอร์นิเจอร์ด้วยหนัง ไวนิล หรือ จ้างคนมากำจัดไรฝุ่นบ่อยๆ เฟอร์นิเจอร์ที่เก็บในห้องที่มีความชื้น เช่น ห้องใต้ดิน จะมีเชื้อรามากมาย ให้แก้ไขโดยหาเครื่องมือลดความชื้น
6.เตียงนอน : การอยู่บนเตียงวันละ 8 ชม. จะมีเซลผิวหนังตกหล่นอยู่บนเตียงนอน ซึ่งกลายเป็นอาหารของไรฝุ่น วิธีแก้ไข คือ ใช้ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน กันไรฝุ่นที่เส้นใยทอแน่นจนไรฝุ่นเล็ดลอดขึ้นมาบนเตียงไม่ได้ ซักผ้าปูเตียงด้วยน้ำร้อนทุกสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการใช้หมอนที่ซักไม่ได้
7.ตุ๊กตานุ่มนิ่ม : ให้เลือกเพื่อนรักของลูกชนิดที่ซักในน้ำร้อนได้ทุกสัปดาห์ และ ต้องเป่าให้แห้งด้วยเพื่อไม่ให้มีเชื้อรา
8.ห้องน้ำ : เชื้อราชอบขึ้นที่กระเบื้องปูพื้นและผนังห้องน้ำ วิธีป้องกัน คือ ทำห้องน้ำให้แห้ง และ สะอาดอยู่เสมอ ซ่อมแซมจุดที่มีน้ำรั่วไหล ใช้พัดลมดูดอากาศเพื่อระบายความชื้น และ ทำความสะอาดพื้นห้องน้ำด้วยน้ำยาขจัดคราบ
9.ห้องครัว : เป็นสถานที่ที่เชื้อราชื่นชอบ เพราะ ชื้นแฉะ และ มีเศษอาหารซึ่งเป็นอาหารของเชื้อรา วิธีป้องกัน คือ ปิดถังขยะให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้แมลงสาบเข้าไปหาอาหารและเพาะพันธุ์ เพราะซากแมลงสาบก็เป็นสารก่อภูมิแพ้
10.เครื่องปรับอากาศ : เป็นที่สะสมของฝุ่น และ เชื้อรา วิธีป้องกัน คือ ใช้ที่กรองอากาศและทำความสะอาดเป็นประจำ
From: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=761757283850421&set=a.591395760886575.156913.591075960918555&type=1&theater
2. สัตว์เลี้ยง : ไม่เพียงแต่ผิวหนังหรือรังแคสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่น้ำลาย ปัสสาวะ และ อุจจาระของสัตว์เลี้ยง ซึ่งตกอยู่ตามพื้นพรม เฟอร์นิเจอร์ และ เตียงนอนล้วนมีสารโปรตีนซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้ทั้งสิ้น วิธีลดความเสี่ยง คือ ไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าห้องนอน หมั่นทำความสะอาดบ้านบ่อยๆเพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้ตกค้างสะสมในบ้าน ล้างมือทุกครั้งหลังจากเล่นกับสัตว์เลี้ยง
3. พรม ผ้าเช็ดเท้า : เป็นแหล่งสะสมฝุ่น ไรฝุ่น วิธีลดความเสี่ยง คือ หมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ เอาพรมออกไป ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพื่อถ่ายเทอากาศไม่ให้อับชื้น
4. หนังสือ : เป็นอาหารสมองสำหรับคุณ แต่ก็เป็นอาหารสำหรับไรฝุ่น ไรหนังสือด้วยเช่นกัน วิธีแก้ไข คือ หมั่นทำความสะอาด หรือ เก็บหนังสือในตู้ปิด และอย่าให้ห้องเก็บหนังสือชื้น เพราะจะทำให้มีเชื้อราเจริญเติบโตซึ่งเป็นอาหารของไรหนังสือ
5.เฟอร์นิเจอร์กำมะหยี่ หรือ ทำจากผ้า : จะมีตัวไร วิธีแก้ไข คือ หุ้มเฟอร์นิเจอร์ด้วยหนัง ไวนิล หรือ จ้างคนมากำจัดไรฝุ่นบ่อยๆ เฟอร์นิเจอร์ที่เก็บในห้องที่มีความชื้น เช่น ห้องใต้ดิน จะมีเชื้อรามากมาย ให้แก้ไขโดยหาเครื่องมือลดความชื้น
6.เตียงนอน : การอยู่บนเตียงวันละ 8 ชม. จะมีเซลผิวหนังตกหล่นอยู่บนเตียงนอน ซึ่งกลายเป็นอาหารของไรฝุ่น วิธีแก้ไข คือ ใช้ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน กันไรฝุ่นที่เส้นใยทอแน่นจนไรฝุ่นเล็ดลอดขึ้นมาบนเตียงไม่ได้ ซักผ้าปูเตียงด้วยน้ำร้อนทุกสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการใช้หมอนที่ซักไม่ได้
7.ตุ๊กตานุ่มนิ่ม : ให้เลือกเพื่อนรักของลูกชนิดที่ซักในน้ำร้อนได้ทุกสัปดาห์ และ ต้องเป่าให้แห้งด้วยเพื่อไม่ให้มีเชื้อรา
8.ห้องน้ำ : เชื้อราชอบขึ้นที่กระเบื้องปูพื้นและผนังห้องน้ำ วิธีป้องกัน คือ ทำห้องน้ำให้แห้ง และ สะอาดอยู่เสมอ ซ่อมแซมจุดที่มีน้ำรั่วไหล ใช้พัดลมดูดอากาศเพื่อระบายความชื้น และ ทำความสะอาดพื้นห้องน้ำด้วยน้ำยาขจัดคราบ
9.ห้องครัว : เป็นสถานที่ที่เชื้อราชื่นชอบ เพราะ ชื้นแฉะ และ มีเศษอาหารซึ่งเป็นอาหารของเชื้อรา วิธีป้องกัน คือ ปิดถังขยะให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้แมลงสาบเข้าไปหาอาหารและเพาะพันธุ์ เพราะซากแมลงสาบก็เป็นสารก่อภูมิแพ้
10.เครื่องปรับอากาศ : เป็นที่สะสมของฝุ่น และ เชื้อรา วิธีป้องกัน คือ ใช้ที่กรองอากาศและทำความสะอาดเป็นประจำ
From: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=761757283850421&set=a.591395760886575.156913.591075960918555&type=1&theater
...เลี้ยงลูกท่าไหน ถึงผลักไสให้เขา กลายเป็น Generation ME...
» Gen ที่หลงตัวเองที่สุดในประวัต
เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีข่า
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับคนรุ่น
คนรุ่นใหม่กว่า 80 ล้านคนในอเมริกาที่เกิดระหว
คนรุ่นใหม่นั้นได้รับการปลู
ซึ่งทำให้พวกเขามักคิดว่า หากทำงาน พวกเขาควรได้รับการโปรโมตเล
และจากข้อมูลดังกล่าว เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Generation ME หรือกลุ่มที่มองตัวเองสำคัญ
คนที่มี “บุคลิกภาพหลงตัวเอง” สรุปคร่าวๆ มักจะมีอาการ และพฤติกรรม ดังนี้
1) ปฏิกิริยาต่อการวิพากษ์วิจา
2) เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อตอบสนองความต้องการชนะ
3) มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคน
4) พูดขยายเกินกว่าความเป็นจริ
5) มีใจหมกมุ่นกับจินตนาการควา
6) ใช้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล กับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ หลงใหล คาดหวัง
7) ต้องการเป็นที่ชื่นชม ยอมรับ และหลงใหลอยู่ตลอดเวลา
เพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ต่อความรู้สึกขอ
9) คิดหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน
10) ไล่ตามเป้าหมายที่เห็นประโย
แม้จะมีความพยายามในการวิเค
แล้วเด็กแบบไหนกันที่มีแนวโ
• ประการแรก : ลูกเป็นศูนย์กลางของบ้าน
ถ้าเปรียบเทียบกับการเลี้ยง
โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้
• ประการที่สอง : ลูกไม่เคยผิดหวัง
สืบเนื่องมาจากการเป็นศูนย์
เช่น การที่ลูกอยากได้ของเล่นของ
• ประการที่สาม : ลูกไม่เคยแพ้
ในที่นี้เป็นเรื่องการแข่งข
ยกตัวอย่าง พ่อแม่ที่เล่นกับลูก ถ้าเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ช
แทนที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้
แต่พ่อแม่มักอ้างว่ารักลูก กลัวว่าลูกเสียใจก็เลยยอมแพ
• ประการที่สี่ : ลูกไม่เคยลำบาก
ข้อนี้มักเกิดกับกลุ่มพ่อแม
ซึ่งเป็นความคิด และความเข้าใจที่ผิด เพราะความลำบากจะทำให้ลูกมี
• ประการที่ห้า : ลูกไม่เคยแก้ปัญหา
พ่อแม่จัดการแก้ปัญหาให้ลูก
พ่อแม่เข้าไปแก้ปัญหา และจัดการให้หมด กลายเป็นจุ้นจ้านต่อชีวิตขอ
เมื่อเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะมองไม่เห็นปัญหาของคนอ
• ประการที่หก : ลูกได้รับคำชื่นชม และชมเชยแบบพร่ำเพรื่อ
การชื่นชม หรือชมเชย หรือให้กำลังใจลูกเป็นเรื่อ
เช่น ชมว่าลูกแต่งตัวสวย หล่อ หรือหน้าตาดี แต่ไม่ได้ชมที่พฤติกรรมของก
+ + ฝากทิ้งท้าย + +
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วมีส่วนทำ
จนถึงกับบัญญัติศัพท์ใหม่ว่
จะว่าไปแล้วอีกปัจจัยหนึ่งท
และมองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมาย
ตรงกันข้าม ถ้าเด็กเหล่านี้ได้รับการเล
เมื่อถึงเวลานั้น ทักษะที่มี มันจะทำหน้าที่ป้องกันตัวเอ
Credit : สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน / Quality of Life / Manager.co.th
From: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151830720864730&set=a.10150225487049730.334450.360925469729&type=1&theater
Labels:
Baby,
Generation ME,
GenME,
Problem,
Teaching
Subscribe to:
Posts (Atom)